ทำความรู้จักโพรไบโอติกและทำไมการกินทุกวันจึงสำคัญ
ในยุคปัจจุบันที่ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น “โพรไบโอติก” หรือจุลินทรีย์ดีมีชีวิต กำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในฐานะผู้ช่วยสำคัญในการดูแลสุขภาพกายและใจ หลายคนอาจเคยได้ยินถึงประโยชน์ของมัน แต่คำถามที่พบบ่อยคือ “กินโพรไบโอติกทุกวันช่วยอะไร?” บทความนี้จะพาทุกท่านไปเจาะลึกถึงประโยชน์อันน่าทึ่งของการกินโพรไบโอติกอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ วัน ตั้งแต่การปรับสมดุลภายในลำไส้ไปจนถึงผลลัพธ์เชิงบวกต่อสุขภาพองค์รวมทั้งร่างกายและจิตใจ
โพรไบโอติกคืออะไร? และทำไมลำไส้ของเราถึงต้องการมัน?
โพรไบโอติกคือจุลินทรีย์ขนาดเล็กที่มีชีวิต ซึ่งเมื่อได้รับในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว จะส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค จุลินทรีย์เหล่านี้มักเป็นแบคทีเรียและยีสต์สายพันธุ์ต่างๆ ที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายของเรา โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร สายพันธุ์ที่พบบ่อยและรู้จักกันดีได้แก่ Lactobacillus และ Bifidobacterium ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ (Gut Microbiome) ซึ่งเป็นชุมชนของจุลินทรีย์นับล้านล้านตัวที่อาศัยอยู่ภายในลำไส้ของเรา
ลำไส้ของเราเปรียบเสมือนศูนย์กลางของสุขภาพ หากสมดุลของจุลินทรีย์ดีและจุลินทรีย์ไม่ดีเสียไป (ภาวะ Dysbiosis) อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการย่อยอาหาร อาการแพ้ การอักเสบ หรือแม้กระทั่งส่งผลต่ออารมณ์และภูมิคุ้มกัน การกินโพรไบโอติกทุกวันจึงเป็นการเติมกำลังให้กับทีมจุลินทรีย์ดี เพื่อให้พวกมันสามารถต่อสู้กับจุลินทรีย์ที่ไม่ดีและรักษาสมดุลที่จำเป็นต่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว
ประโยชน์หลักของการกินโพรไบโอติกทุกวัน: สุขภาพลำไส้ที่ดีคือจุดเริ่มต้น
การเริ่มต้นดูแลสุขภาพจากภายในลำไส้ด้วยโพรไบโอติกนั้น มีผลลัพธ์ที่ชัดเจนและจับต้องได้หลายประการ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตประจำวันของคุณ
1. ปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ (Gut Microbiome Balance)
หนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการกินโพรไบโอติกทุกวันคือการช่วย ปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ในระบบทางเดินอาหารของเรามีทั้งจุลินทรีย์ดีและจุลินทรีย์ไม่ดีอยู่ร่วมกัน การใช้ชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ ความเครียด การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ การใช้ยาปฏิชีวนะ หรือแม้แต่การเจ็บป่วย สามารถทำให้สมดุลนี้เสียไปได้ เมื่อจุลินทรีย์ไม่ดีมีจำนวนมากเกินไป ก็จะเกิดภาวะที่เรียกว่า Dysbiosis ซึ่งนำไปสู่ปัญหาการย่อยอาหารและสุขภาพอื่นๆ
โพรไบโอติกทำหน้าที่เติมเต็มและเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ดี ช่วยให้พวกมันสามารถแข่งขันกับจุลินทรีย์ไม่ดีเพื่อแย่งชิงทรัพยากรและพื้นที่ในลำไส้ ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ก่อโรค เมื่อสมดุลกลับคืนมา ลำไส้ก็จะทำงานได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น ลดการอักเสบและเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังลำไส้
2. เสริมสร้างระบบย่อยอาหารให้ทำงานมีประสิทธิภาพ (Improved Digestion)
ลำไส้ที่มีจุลินทรีย์สมดุลจะนำไปสู่ระบบย่อยอาหารที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จุลินทรีย์โพรไบโอติกบางชนิดมีความสามารถในการผลิตเอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหาร โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรตและไฟเบอร์บางประเภทที่ร่างกายของเราไม่สามารถย่อยได้เอง สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยลดภาระของระบบย่อยอาหารโดยรวม
สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการย่อยอาหาร เช่น ท้องผูก ท้องเสีย หรืออาการลำไส้แปรปรวน (IBS) การกินโพรไบโอติกทุกวันสามารถช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ โดยการปรับปรุงการเคลื่อนไหวของลำไส้และลดการอักเสบ ส่งผลให้การขับถ่ายเป็นปกติและสบายท้องมากขึ้นในแต่ละวัน
3. ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และปัญหาการขับถ่าย (Reduced Bloating & Digestive Issues)
อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ มีแก๊สในกระเพาะอาหาร และปัญหาการขับถ่ายที่ไม่สม่ำเสมอ เป็นปัญหาที่พบบ่อยและสร้างความรำคาญใจให้กับหลายคน สาเหตุหลักมักมาจากกระบวนการย่อยอาหารที่ไม่สมบูรณ์และการหมักของอาหารโดยจุลินทรีย์ไม่ดีในลำไส้
โพรไบโอติกจะช่วยลดการเกิดแก๊สส่วนเกินที่เกิดจากการย่อยอาหารที่ไม่สมบูรณ์และลดการสะสมของจุลินทรีย์ที่ไม่ดีที่ผลิตแก๊ส ทำให้คุณรู้สึกสบายท้องมากขึ้น ลดอาการแน่นท้องและท้องอืดได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังช่วยปรับสมดุลการขับถ่ายให้เป็นปกติ ไม่ว่าจะเป็นอาการท้องผูกเรื้อรังหรือท้องเสียบ่อยครั้ง การกินโพรไบโอติกเป็นประจำจะช่วยให้ลำไส้ทำงานได้อย่างมีจังหวะและคงที่
4. เพิ่มการดูดซึมสารอาหาร (Enhanced Nutrient Absorption)
แม้ว่าเราจะรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และอุดมด้วยสารอาหารมากเพียงใด แต่หากระบบย่อยอาหารและการดูดซึมของเราไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายก็จะไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ จุลินทรีย์โพรไบโอติกมีบทบาทสำคัญในการ เพิ่มการดูดซึมสารอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น
จุลินทรีย์ดีจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังลำไส้ ทำให้เซลล์ลำไส้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ในการดูดซึมสารอาหารเข้าสู่กระแสเลือด นอกจากนี้ โพรไบโอติกบางสายพันธุ์ยังสามารถผลิตวิตามินบางชนิดได้เอง เช่น วิตามินเค และวิตามินบีบางชนิด ซึ่งมีส่วนสำคัญในการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย การที่ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มที่ จะส่งผลให้คุณมีพลังงานมากขึ้น รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และมีสุขภาพโดยรวมที่ดีขึ้น
ประโยชน์ระยะยาวที่เหนือกว่าแค่ลำไส้: สุขภาพองค์รวมที่ยั่งยืน
นอกเหนือจากประโยชน์โดยตรงต่อระบบย่อยอาหารแล้ว การกินโพรไบโอติกทุกวันยังส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวในหลายมิติ ซึ่งหลายคนอาจคาดไม่ถึง
1. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Boosted Immune System)
รู้หรือไม่ว่า 70-80% ของเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราอาศัยอยู่ในลำไส้? นี่คือเหตุผลว่าทำไม สุขภาพของลำไส้จึงมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับระบบภูมิคุ้มกัน การกินโพรไบโอติกทุกวันช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันภูมิคุ้มกันนี้ให้แข็งแกร่งขึ้น โดยการผลิตสารต่อต้านเชื้อโรค กระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน และป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแทรกซึมผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด
ผลลัพธ์คือ ร่างกายของคุณจะสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อต่างๆ ได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยจากไข้หวัดทั่วไป ลดความรุนแรงและระยะเวลาของอาการป่วย และอาจช่วยลดโอกาสในการเกิดอาการแพ้หรือโรคภูมิแพ้บางชนิด ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพที่คุ้มค่าในระยะยาว
2. บำรุงสุขภาพผิวให้เปล่งปลั่ง (Improved Skin Health)
ความสัมพันธ์ระหว่างลำไส้กับผิวหนังที่เรียกว่า “Gut-Skin Axis” เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ เมื่อลำไส้มีปัญหา เช่น มีการอักเสบหรือจุลินทรีย์ไม่สมดุล สารพิษและโมเลกุลขนาดใหญ่อาจเล็ดลอดผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดและกระตุ้นการอักเสบทั่วร่างกาย ซึ่งรวมถึงผิวหนังด้วย
การกินโพรไบโอติกทุกวันช่วยลดการอักเสบในลำไส้และเสริมสร้างความแข็งแรงของเยื่อบุลำไส้ ทำให้สารพิษเข้าสู่ร่างกายได้น้อยลง ส่งผลให้ปัญหาผิวต่างๆ เช่น สิว ผื่นคัน ผิวแห้ง หรือโรคผิวหนังอักเสบ (Eczema) มีแนวโน้มดีขึ้น ผิวพรรณของคุณจะดูสุขภาพดี เปล่งปลั่ง และมีความชุ่มชื้นมากขึ้นจากภายในสู่ภายนอก
3. สนับสนุนสุขภาพจิตและอารมณ์ที่ดี (Supported Mental Well-being)
ลำไส้ของเราถูกเรียกว่า “สมองที่สอง” ด้วยเหตุผลที่ดี มันเชื่อมโยงกับสมองโดยตรงผ่านระบบประสาททางเดินอาหาร (Enteric Nervous System) และเส้นประสาทเวกัส (Vagus Nerve) ซึ่งเรียกว่า “Gut-Brain Axis” จุลินทรีย์ในลำไส้มีอิทธิพลต่อการผลิตสารสื่อประสาทหลายชนิด เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุขมากกว่า 90% ผลิตในลำไส้
การกินโพรไบโอติกทุกวันจึงสามารถช่วยปรับปรุงอารมณ์ ลดความเครียด ความวิตกกังวล และอาการซึมเศร้าได้ โดยการเพิ่มการผลิตสารสื่อประสาทที่เป็นประโยชน์และลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมอง การมีลำไส้ที่แข็งแรงจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่สุขภาพจิตที่ดีและอารมณ์ที่คงที่
4. ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อบางชนิด (Reduced Risk of Certain Infections)
นอกจากช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโดยรวมแล้ว โพรไบโอติกยังได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อเฉพาะบางชนิดได้อีกด้วย เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI) โดยเฉพาะในผู้หญิง โดยจุลินทรีย์ดีจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรคในระบบทางเดินปัสสาวะ
นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของ การติดเชื้อยีสต์ และ อาการท้องเสียจากการเดินทาง (Traveler’s Diarrhea) หรือแม้แต่ท้องเสียที่เกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะ การมีโพรไบโอติกประจำวันเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรจึงเป็นการสร้างเกราะป้องกันเพิ่มเติมให้กับร่างกายของคุณ
เลือกโพรไบโอติกอย่างไรให้เหมาะกับคุณและการกินทุกวันให้ได้ผล
เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการกินโพรไบโอติก การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและทำความเข้าใจวิธีการบริโภคที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ
รูปแบบของโพรไบโอติกที่นิยม
โพรไบโอติกมีหลายรูปแบบให้เลือกสรร เพื่อตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน:
รูปแบบ | ข้อดี | ข้อควรพิจารณา |
---|
แคปซูล/เม็ด | สะดวกในการพกพาและบริโภค ควบคุมปริมาณจุลินทรีย์ได้ง่าย และมักมีเทคโนโลยีที่ช่วยปกป้องจุลินทรีย์จากกรดในกระเพาะอาหาร | บางคนอาจมีปัญหาในการกลืนเม็ดยา และควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีจำนวนจุลินทรีย์ (CFU) และสายพันธุ์ที่เหมาะสม |
ผง | สามารถผสมกับอาหารหรือเครื่องดื่มได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบการกลืนแคปซูล ปรับปริมาณได้ยืดหยุ่น | ต้องระมัดระวังเรื่องอุณหภูมิของเครื่องดื่ม/อาหารที่ผสม เพื่อไม่ให้จุลินทรีย์ตาย และบางชนิดอาจมีรสชาติเฉพาะตัว |
ของเหลว/เครื่องดื่ม | ดูดซึมเร็ว ทำให้ร่างกายนำไปใช้ได้ทันที มักมีรสชาติอร่อยและสดชื่น เช่น โยเกิร์ตพร้อมดื่ม นมเปรี้ยว | บางชนิดอาจมีน้ำตาลสูง ควรเลือกสูตรที่น้ำตาลน้อย หรือไม่มีน้ำตาล และต้องเก็บในตู้เย็นเพื่อรักษาคุณภาพ |
อาหารหมักดอง | เป็นแหล่งโพรไบโอติกจากธรรมชาติ เช่น กิมจิ คอมบูชา เทมเป้ มิโซะ มีสารอาหารอื่นๆ เพิ่มเติม | ปริมาณและชนิดของจุลินทรีย์ไม่แน่นอน อาจมีรสชาติที่เฉพาะตัว และบางครั้งมีเกลือสูง ควรบริโภคอย่างพอประมาณ |
ทำไมการกินโพรไบโอติกทุกวันจึงสำคัญ?
คำถามที่ว่า “ทำไมต้องกินโพรไบโอติกทุกวัน?” มีคำตอบง่ายๆ คือ จุลินทรีย์โพรไบโอติกส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ประจำในลำไส้ของเราอย่างถาวร พวกมันเป็นแขกที่มาเยี่ยมเยียนชั่วคราวและถูกขับออกจากร่างกายไปตามธรรมชาติพร้อมกับอุจจาระ หากเราหยุดกิน การทำงานที่เป็นประโยชน์ของพวกมันก็จะลดลงและหมดไป
การกินโพรไบโอติกอย่างต่อเนื่องทุกวันจึงเป็นการ เติมเต็มและรักษาระดับของจุลินทรีย์ดี ในลำไส้ให้มีจำนวนเพียงพอที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่องในการรักษาสมดุลลำไส้ เสริมภูมิคุ้มกัน และดูแลสุขภาพองค์รวม การสร้างวินัยในการกินโพรไบโอติกให้เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติม
แม้ว่าโพรไบโอติกจะปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ก็มีข้อควรพิจารณาบางประการ:
- ปรึกษาแพทย์: หากคุณมีภาวะสุขภาพร้ายแรง มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือกำลังตั้งครรภ์/ให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทาน
- ผลข้างเคียง: บางคนอาจมีอาการท้องอืด มีแก๊ส หรือท้องไส้ปั่นป่วนเล็กน้อยในช่วงแรกที่เริ่มกิน ซึ่งมักเป็นอาการชั่วคราวและจะดีขึ้นเมื่อร่างกายปรับตัว
- สายพันธุ์ที่เหมาะสม: โพรไบโอติกแต่ละสายพันธุ์มีประโยชน์แตกต่างกันไป การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของร่างกายจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การเลือกผลิตภัณฑ์จากแหล่งที่น่าเชื่อถือและมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับสายพันธุ์และปริมาณจุลินทรีย์ (CFU) เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและประสิทธิภาพ
สรุป: โพรไบโอติกคือกุญแจสู่สุขภาพองค์รวม
การกินโพรไบโอติกทุกวันไม่ใช่แค่เทรนด์สุขภาพชั่วคราว แต่เป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน เมื่อเราเข้าใจว่า กินโพรไบโอติกทุกวันช่วยอะไร เราจะเห็นว่ามันเป็นมากกว่าแค่การดูแลลำไส้ แต่เป็นการดูแลสุขภาพองค์รวม ตั้งแต่ระบบย่อยอาหารที่ดีขึ้น ลดท้องอืด การดูดซึมสารอาหารที่เหนือกว่า ไปจนถึงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงผิวพรรณ และสนับสนุนสุขภาพจิตที่ดีผ่านการทำงานร่วมกันของ Gut-Brain Axis
การทำให้โพรไบโอติกเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันจะช่วยให้คุณมีชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน ความสดใส และสุขภาพที่แข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก อย่ารอช้า เริ่มต้นดูแลสุขภาพลำไส้ของคุณตั้งแต่วันนี้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกๆ วัน
คำถามที่พบบ่อย
Q: ควรกินโพรไบโอติกตอนไหนดีที่สุด? A: โดยทั่วไปแนะนำให้กินโพรไบโอติกในช่วงท้องว่าง เช่น ก่อนอาหารเช้าประมาณ 15-30 นาที หรือก่อนนอน เนื่องจากกรดในกระเพาะอาหารจะมีความเป็นกรดน้อยที่สุด ทำให้จุลินทรีย์ดีมีโอกาสรอดชีวิตไปถึงลำไส้ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม บางผลิตภัณฑ์อาจแนะนำให้กินพร้อมอาหาร เพื่อช่วยปกป้องจุลินทรีย์จากกรดในกระเพาะอาหาร ควรปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากผลิตภัณฑ์เป็นหลัก
Q: ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผลจากการกินโพรไบโอติก? A: ผลลัพธ์จากการกินโพรไบโอติกอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลและขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายเริ่มต้นและปัญหาที่ต้องการแก้ไข แต่โดยทั่วไปแล้ว หลายคนอาจเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในระบบย่อยอาหาร เช่น การขับถ่ายที่สม่ำเสมอขึ้น หรือลดอาการท้องอืด ภายใน 2-4 สัปดาห์ของการกินอย่างสม่ำเสมอ สำหรับผลลัพธ์ระยะยาว เช่น การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพผิว หรือสุขภาพจิต อาจใช้เวลา 2-3 เดือนหรือนานกว่านั้น เพื่อให้จุลินทรีย์ในลำไส้มีการปรับสมดุลอย่างเต็มที่
Q: เด็กหรือคนท้องกินโพรไบโอติกได้ไหม? A: การให้เด็กเล็กหรือสตรีมีครรภ์และให้นมบุตรรับประทานโพรไบโอติกควรอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเสมอ แม้ว่าโพรไบโอติกหลายชนิดจะถือว่าปลอดภัยสำหรับกลุ่มประชากรเหล่านี้ แต่สิ่งสำคัญคือการเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมและปริมาณที่ถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด
Q: โพรไบโอติกมีผลข้างเคียงหรือไม่? A: โดยทั่วไป โพรไบโอติกมีความปลอดภัยสูงสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่บางคนอาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อยในช่วงแรกที่เริ่มกิน เช่น ท้องอืด มีแก๊สเล็กน้อย หรือท้องไส้ปั่นป่วน อาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นชั่วคราวและดีขึ้นเองเมื่อร่างกายปรับตัวได้ หากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์ นอกจากนี้ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง หรือมีโรคประจำตัวบางอย่าง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
หากสนใจอยากเริ่มต้นธุรกิจสร้างแบรนด์โพรไบโอติกของตัวเอง สามารถติดต่อสอบถามกับ iBio ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เราพร้อมดูแลคุณตั้งแต่เริ่มต้นให้คำปรึกษาจนจบกระบวนการ โทรเลย 02-713-8989 หรือดูรายละเอียดบริการรับผลิตอาหารเสริมของ iBio ได้ที่ รับผลิตอาหารเสริม oem พร้อมสร้างแบรนด์ครบวงจร